หน้าเว็บ

วันศุกร์ที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2552

พลังแห่งดอกไม้กับการผ่อนคลายความเครียด

พลังแห่งดอกไม้กับการผ่อนคลายความเครียด





ความเครียดเป็นปัญหาในปัจจุบันที่เกิดขึ้นได้บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะเป็นวัยเรียนหรือวัยทำงานที่ต้องได้ประสบเจอกับสารพันปัญหาจาก เศรษฐกิจ สังคม การเมือง อาจส่งผลกระทบต่ออารมณ์จิตใจ และสุขภาพร่างกายทำให้เกิดอาการหงุดหงิด ฉุนเฉียว โมโหง่าย นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร ปวดศีรษะ อ่อนเพลีย ร่างกายอ่อนแอจนเจ็บป่วยด้วยโรคนั้นโรคนี้อยู่เป็นประจำ

วิธีคลายเครียดมีหลากหลายวิธี ซึ่งดอกไม้เป็นอีกทางเลือกหนึ่งในการบำบัดความเครียด ดอกไม้คือตัวแทนของความรู้สึก แทนความหมายของสิ่งสวยงาม มิตรภาพความรัก ความห่วงใย แทนความรู้สึกที่เราต้องการให้ผู้รับรับรู้ และเป็นเสมือนสิ่งสร้างสรรค์โลกให้งดงาม มีชีวิตชีวา มีคุณค่าแก่การมอบให้เป็นของขวัญในโอกาสต่างๆ สำหรับคนพิเศษของคุณ





วิธีผ่อนคลายความเครียดจากดอกไม้ มีวิธีง่ายดังต่อไปนี้

ปลูกไม้ดอก เตรียมเมล็ดพันธุ์ไม้ดอกที่ชื่นชอบ กระถางสักใบ ดิน และปุ๋ย ลงมือปลูกและคอยเฝ้าดูการเติบโตของต้นไม้ที่คุณปลูก นอกจากการปลูกไม้ดอกจะทำให้ใกล้ชิดธรรมชาติ ได้สมาธิแล้วยังเป็นความสุขง่ายๆที่ทำเองได้ที่บ้าน


จัดแจกันดอกไม้ โดยใช้ดอกไม้ที่ปลูกไว้รอบๆบ้าน ไม่ว่าจะเป็นดอกไม้อะไรที่คุณชื่นชอบ นำมาจัดแจกันและตกแต่งเพิ่มสีสันให้กับบ้านและยังได้สูดกลิ่นหอม ช่วยผ่อนคลายได้อย่างดี


ร้อยมาลัยดอกไม้ ลองนำดอกมะลิ ดอกพุด หรือดอกรักมาร้อยเป็นพวงมาลัยไว้บูชาพระ หรืออาจจะหัดทำเป็นงานฝีมือ งานอดิเรก ได้อีกด้วย

เมนูอาหารดอกไม้ นอกจากดอกไม้จะใช้ประดับตกแต่งแล้ว ดอกไม้ยังเป็นอาหารจานเด็ดได้อีก เช่น แกงส้มดอกดาหลา ยำกุหลาบ ให้สีสันในการทำอาหารและยังอิ่มท้องอีกด้วย


ดอกไม้นอกจากเป็นสิ่งที่สวยงามที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเพื่อเป็นสิ่งประดับให้แก่โลกและมนุษย์ยังเพิ่มสีสันได้อย่างสวยงามทำให้มีความรู้สึกที่ดี สดชื่น แจ่มใส ร่าเริง และช่วยให้เกิดการผ่อนคลายความเครียด ดังนั้นเราจึงควรเอาใจใส่แก่ธรรมชาติให้เพิ่มมากขึ้น เพราะธรรมชาติเป็นจุดกำเนิดสิ่งมีชีวิตทุกอย่าง เพื่อสุขภาพที่ดีของตนเองและสังคมนะค่ะ

ฝากไว้ดูเล่นเพื่อมองดูแล้วช่วยผ่อนคลาย












-อ้างอิง http://learners.in.th/blog/naya/287463

เรื่องดีๆ มีไว้ให้แบ่งปัน

เพิ่มความสุขให้กับชีวิตได้... ลงมือกันเลย! จูงมือกับความสุข แล้วก้าวเดินออกไปพร้อมๆ กัน


ไม่ว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับชีวิตคุณ จะดีหรือแย่.. นั่นหมายความว่า คุณกำลังได้เรียนรู้ ที่จะหัวเราะกับสิ่งดีๆ ให้มากขึ้น
และร้องไห้เสียใจกับสิ่งแย่ๆ ให้น้อยลง





















อ้างอิง
http://dek-d.com/board/view.php?id=1152254

การดูแลโลกของเรา

โลกร้อนกระแสสุดอินเทรน์ที่ใครก็พูดถึง เพื่อให้เข้ากระแสโลกร้อน เราสามารถได้ช่วยลดโลกร้อนอย่างง่ายๆ ช่วยกันคนละไม้คนละมือดังนี้










1.ปิดคอมพิวเตอร์หรือหน้าจอตอนพักกลางวัน (หรือไม่ได้ใช้) เพราะการเปิดคอมพิวเตอร์ทิ้งไว้ ไม่เพียงแต่จะเปลืองไฟ แต่ยังก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อม การปิดคอมพิวเตอร์ โทรทัศน์ และเครื่องใช้ไฟฟ้าอื่นๆ โดยใช้ปุ่มสแตนด์บาย พาวเวอร์ กินไฟในบ้านแบบไม่รู้ตัวถึง 75% การกดปุ่มปิดหรือ Off เท่านั้นที่ไม่กินพลังงาน






2.ปิดไฟทุกครั้งที่เสร็จงาน นี่ถือเป็นวิธีที่ช่วยประหยัดพลังงานได้ดีที่สุดอีกหนึ่งวิธี ช่วยประหยัดพลังงานชาติ ประหยัดพลังงานไฟฟ้าได้



3.ลดการใช้พลังงานที่ใช้ภายในบ้านเรือนที่อยู่อาศัย พลังงานที่ใช้ภายในบ้านเรือนที่อยู่อาศัยเป็นตัวการก่อให้เกิดความร้อน หาเวลาว่างจัดบ้านหรือทำงานให้สอดคล้องกับหลักธรรมชาติ และทิศทางลม แทนที่จะพึ่งแอร์หรือเทคโนโลยีไฮเทคตลอดเวลา แถมยังช่วยเซฟพลังงานได้ถึง 40% หรือ เปิดหน้าต่างรับลมแทนการเปิดแอร์ วิธีนี้ง่ายและคนไทยคุ้นเคยกันดี ผลการศึกษาของอเมริกาบ่งชี้ว่า 22.7 ตัน ของก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่แพร่กระจายอยู่ในอากาศมาจากบ้านเรือนที่อยู่ อาศัย ลองลดการใช้พลังงานและทำลายสิ่งแวดล้อมด้วยการเปิดหน้าต่างภายในบ้านเพื่อ รับลม แทนที่จะเปิดแอร์ทั้งวันทั้งคืน เพราะลมธรรมชาติจากภายนอกจะทำให้อากาศภายในบ้านเย็นสบายขึ้นในช่วงฤดูร้อน และอุ่นขึ้นในช่วงฤดูหนาว

4. ใช้ถุงผ้าแทนการใช้ถุงพลาสติก เพราะทุกปีมีถุงพลาสติกถูกผลิตออกสู่ตลาดมากกว่า 50,000 ล้านถุง และมีเพียง 3% ของถุงพลาสติกที่นำไปรีไซเคิลกลับมาใช้ใหม่อีกครั้ง ถุงพลาสติกแต่ละใบต้องใช้เวลาถึงพันปีกว่าจะย่อยสลายหมดไปจากโลก!!



5.เปลี่ยนอาหารให้เป็นเชื้อเพลิง ในระยะหลายปีมานี้ นักวิทยาศาสตร์ทั่วโลกทุ่มเทเวลาอย่างจริงจังให้กับการคิดค้น หาวิธีผลิตเชื้อเพลิงชีวภาพจากพืชพันธุ์ธรรมชาติ ไล่ตั้งแต่ ข้าวโพด, ถั่วเหลือง, น้ำมันหุงต้ม ไปจนถึงเศษขยะ เพื่อเป็นทางเลือกใหม่ทดแทนพลังงานจากน้ำมัน ซึ่งนับวันมีแต่จะร่อยหรอลงเรื่อยๆ!! เห็นได้ชัดจากความเคลื่อนไหวของกระทรวงพลังงานสหรัฐอเมริกา ที่เพิ่มงบประมาณเป็นสองเท่า สำหรับการทำวิจัยคิดค้นเชื้อเพลิงชีวภาพโดยเฉพาะ และดูเหมือนว่าเชื้อเพลิงที่ผลิตจากข้าวโพดเป็นก๊าซอีธานอลจะมาแรงแซงทาง โค้ง กว่าใครเพื่อน เพราะ ทั้งเซฟเงินในกระเป๋า และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในอนาคต

6.เปลี่ยนหลอดไฟใหม่เป็นแบบประหยัด คือวิธีเซฟค่าไฟในบ้านที่ฮิตฮอตที่สุดของที่สุด แม้รูปร่างหน้าตาของหลอดไฟซีเอฟแอล ที่เรียกกันติดปากในบ้านเราว่า หลอดไฟตะเกียบ ออกจะแปลกตาสักหน่อย แต่ประสิทธิภาพไฮโซมาก!! เพราะช่วยประหยัดไฟได้มากกว่าหลอดไฟธรรมดาๆถึง 3-5 เท่า แถมยังมีอายุการใช้งานนานกว่าหลายเท่าตัว ปัจจุบันมีให้เลือกใช้มากมายหลายขนาด ทั้งหลอดไฟขนาด 26 วัตต์, 40 วัตต์ ไปจนถึง 100 วัตต์

7.จัดระเบียบการซักผ้าใหม่ ผลการศึกษาล่าสุดของสถาบันอุตสาหกรรมการผลิต มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ค้นพบว่าขั้นตอนการซักผ้าและอบผ้าให้แห้ง กินพลังงานถึง 60% ของการผลิตเสื้อผ้าทั้งหมด และเสื้อยืดธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง ก่อให้เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เกือบ 4 กิโลกรัม!! คงไม่ถึงกับขอร้องคุณๆ ให้หยุดการซักผ้ารีดผ้าหรอกนะคะ!! แต่ถ้าอยากช่วยพิทักษ์โลกสีเขียวก็สามารถทำได้ง่ายๆ ด้วยการจัดระเบียบการซักผ้ารีดผ้าใหม่ เช่น เปลี่ยนจากการซักผ้าด้วยน้ำอุ่นเป็นน้ำเย็น หรือไม่ก็รวบรวมเสื้อผ้าให้ได้กองโตพอสมควรก่อน ค่อยนำไปซักทีเดียว อย่างบ้านเรา แดดเปรี้ยงแรงดีอยู่แล้ว แค่นำเสื้อผ้าตากแดดตากลมให้แห้งตามธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องอบผ้าให้กินไฟและทำลายสิ่งแวดล้อม



8.ใส่เสื้อผ้ามือสองพิทักษ์โลก นอกจากจะไม่สูญเสียค่าใช้จ่ายแล้วยังลดการผลิตเสื้อผ้าได้ เพราะเสื้อผ้ามือสองเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม มากกว่าเสื้อผ้าใหม่ เพราะการซื้อเสื้อผ้ามือสองช่วยหลีกเลี่ยงการใช้พลังงานอย่างสิ้นเปลือง จากการผลิต และขนส่ง อันเป็นสาเหตุให้เกิดการแพร่กระจายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่ชั้นบรรยากาศ ช่วยกันคนละนิดนะคะ ทั้งอินเทรนด์ แถมยังลดวิกฤติโลกร้อน!!


9. ปลูกต้นไม้ เพื่อเพิ่มพื้นที่สีเขียวให้โลก ที่สำคัญต้นไม่จะเพิ่มอากาศบริสุทธิ์ได้



10.ลดปริมาณการใช้รถยนต์ ช่วยประหยัดพลังงาน ลดการใช้น้ำมัน ลดการปล่อยควันพิษสู่อากาศ


-อ้างอิง
http://www.vcharkarn.com/varticle/39215

นมแก้วเดียว

เมื่อเด็กชายที่เดินเร่ขายของตามบ้านเพื่อน
หวังเก็บเงินไว้เป็นทุนรอนสำหรับเล่าเรียนหนังสือ
พบว่าตัวเองมี เงินเหลือติดตัวเพียง 10 เซนต์
เขาก็บังเกิดความหิวขึ้นมาตะหงิดๆ
จึงตัดสินใจที่จะบากหน้าเดินไปขอข้าวจากบ้านหลังถัดไป
และแล้ว เขาก็รู้สึก ประหม่า
เมื่อมีอันต้องเผชิญหน้ากับสาวน้อยน่ารักที่ลุกขึ้นมาเปิดประตูบ้าน
เมื่อ ดูจากท่าทางอันหิวโซของเด็กชาย หญิงสาวจึงยื่นนมให้แก้วหนึ่ง
เด็กน้อยค่อยๆ ดื่ม แล้วถามว่า "จะให้ผมจ่ายตังค์เท่าไรดีครับ"
"ไม่หรอกจ๊ะ..เธอไม่ต้องจ่ายอะไรฉันหรอก" สาวน้อยตอบ
"คุณแม่สอนฉันเสมอว่าไม่ให้รับเงิน
จากน้ำใจที่เราได้แสดงออกไปให้กับคนอื่น"
ถ้าอย่างนั้น หนูก็ขอบคุณจากใจนะครับ" เขาตอบ
เมื่อ พ่อหนูเฮาวาร์ด เคลลี่ เดินจากบ้านหลังนั้นไป
เขามิเพียงแต่รู้สึกว่า ร่างกายมีกำลังวังชาขึ้น
หากแต่ความเชื่อมั่นในพระเจ้าและในมนุษย์ก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย.

.. มิไยว่าก่อนหน้านั้นเขาจะรู้สึกหมดศรัทธาในทั้งสองสิ่งนี้ไปแล้วก็ตาม
กาลเวลาผ่านไปนานเท่าใดไม่ปรากฏ
หญิงสาวผู้นั้นได้ล้มป่วย ลง
คุณหมอในโรงพยายาลท้องถิ่นหมดหนทางจะเยียวยา
จึงส่งเธอไปยังเมืองใหญ่ที่มีคุณหมอเฉพาะทาง
เพื่อรักษาโรคที่ไม่ค่อยได้พบเจออย่างนี้
คุณหมอเฮาวาร์ด เคลลี่ ถูกเรียกตัวมาเพื่อให้คำปรึกษาเคสนี้
เมื่อเขาได้ยินชื่อเมืองที่ผู้ป่วยถูกส่งมา
ถ้าคุณสังเกต จะเห็นว่ามีประกายตาแปลกๆ อยู่ในดวงตาคู่นั้น
ทันใดนั้น เขารีบลุกขึ้นและเดินตรงไปยังห้องพักของเธอ
พลางสวมเสื้อกาวน์ไปด้วย...
เขาสามารถจดจำเธอได้ในทันที...เมื่อกลับไปยังห้องทำงาน
เขาก็พยายามหาหนทางที่ดีที่สุดเพื่อ รักษาชีวิตของเธอ นับจากวันนั้น
คุณหมอก็เพียรดูแลเอาใจใส่ผู้ป่วย รายนี้เป็นพิเศษ...
หลังจากที่ยื้อยุดฉุดกระชากกับโรคร้ายอยู่พักใหญ่
ในที่สุดเขาก็ได้รับ ชัยชนะ
แล้วคุณหมอเคลลี่ก็ขอให้ฝ่ายการเงินของโรงพยาบาล
ส่งใบเรียกเก็บเงินของผู้ป่วยรายนี้
มาให้เขาพิจารณาอนุมัติ
เขาเขียนอะไรสองสามตัวลงบนขอบกระดาษใบนั้น
แล้วฝากเจ้าหน้าที่ส่งผ่านไปยังผู้ป่วย
เมื่อใบเรียกเก็บเงินเดินทางมาถึง
เธออดไม่ได้ที่จะรู้สึกกลัว ด้วยมั่นใจว่า
ตัวเลขคงสูงมากจนเธออาจต้องใช้เวลาที่เหลือในชีวิตนี้
ชดใช้ค่ารักษาพยาบาลในครานี้
ถึง ที่สุดแล้ว เธอก็เปิดออกดู...
พบอะไรบางอย่างที่ดึงความสนใจของเธอ
มาอยู่ตรงขอบๆ กระดาษแผ่นนั้น
เธออ่านได้ใจความว่า
"จ่ายหมดแล้วด้วยนมหนึ่งแก้ว"
พร้อมกับลงชื่อกำกับไว้
หญิงผู้นี้อดไม่ได้ที่จะหลั่งน้ำตาด้วยความชื่นชมยินดี
ขณะหัวใจอันเปี่ยมสุข อธิษฐานว่า
"ขอบคุณพระเจ้าที่ได้แผ่ความเมตตาของพระองค์
มายังหัวใจ และอุ้งมือของผู้คนบนโลกนี้"




อ้างอิง
http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=qooko-chan&month=09-2006&date=10&group=6&gblog=54

การเคลื่อนไหวเนื่องจากแรงดันเต่ง


การเคลื่อนไหวเนื่องจากแรงดันเต่ง (turgor movement)
การเคลื่อนไหวเนื่องจากแรงดันเต่ง เป็นการเคลื่อนไหวที่เกิดจากการมีน้ำเข้าไปทำให้เซลล์เต่งมาก หรือเนื่องจากสูญเสียน้ำออกไปทำให้แรงดันเต่งลดลง เช่น การปิดเปิดของรูใบ ซึ่งเรียกว่า guard cell movement ต้นไมยราบจะหุบใบ ถ้ามีการกระทบกระเทือนเกิดขึ้น เรียกว่า seismonasty หรือ ถ้าเราไปสัมผัสแตะต้อง หรือเอา
ไม้ไปถูกก็จะหุบใบ ซึ่งเรียกว่า thigmonasty โดยมีพาเราไคมา เป็นผนังเซลล์บาง มีความไวต่อสิ่งเร้าที่มากระตุ้น






อ้างอิง

http://www.freewebs.com/movinghuman/tree.htm

วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551

หลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐานพุทธศักราช 2551
สู่หลักสูตรสถานศึกษา

หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 จัดทำขึ้นเพื่อให้เขตพื้นที่การศึกษา หน่วยงานระดับท้องถิ่นและสถานศึกษาทุกสังกัดที่จัดการศึกษาขั้นพื้นฐาน ได้นำไปใช้เป็นกรอบและทิศทางในการพัฒนาหลักสูตรและจัดการเรียนการสอนเพื่อพัฒนาเด็กและเยาวชนไทยทุกคนในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐาน (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 3)
ปัญหาของหลักสูตรการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2544 ในเรื่อง ปัญหาความสับสนของผู้ปฏิบัติระดับสถานศึกษาในการพัฒนาหลักสูตรสถานศึกษา สถานศึกษาส่วนใหญ่กำหนดสาระการเรียนรู้และผลการเรียนรู้ที่คาดหวังไว้มาก ทำให้เกิดปัญหาหลักสูตรแน่น การวัดและประเมินผลไม่สะท้อนมาตรฐาน ส่งผลต่อปัญหาการจัดทำเอกสารหลักฐานทางการศึกษา และ การเทียบโอนผลการเรียน รวมทั้งปัญหาคุณภาพของผู้เรียนในด้านความรู้ ทักษะ ความสามารถและคุณลักษณะอันพึงประสงค์ยังไม่เป็นที่น่าพอใจ (กระทรวงศึกษาธิการ 2551 : 1) หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 นอกเหนือจากการกำหนดวิสัยทัศน์ หลักการ จุดหมาย สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน คุณลักษณะอันพึงประสงค์ มาตรฐานการเรียนรู้แล้วยังได้ให้รายละเอียดในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ ได้กำหนดมาตรฐานการเรียนรู้เป็นเป้าหมายสำคัญของการพัฒนาคุณภาพผู้เรียน มาตรฐานการเรียนรู้ระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ มีคุณธรรม จริยธรรมและค่านิยมที่พึงประสงค์ ที่ต้องการให้เกิดแก่ผู้เรียน เมื่อจบการศึกษาขั้นพื้นฐาน นอกจากนั้น มาตรฐานการเรียนรู้ยังเป็นกลไกสำคัญในการขับเคลื่อนพัฒนาการศึกษาทั้งระบบ เพราะมาตรฐานการเรียนรู้จะสะท้อนให้ทราบว่าต้องการอะไร ต้องสอนอะไร จะสอนอย่างไร และประเมินอย่างไร รวมทั้งเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบเพื่อการประกันคุณภาพการศึกษา รวมถึงการกำหนดตัวชี้วัดระบุสิ่งที่ผู้เรียนพึงรู้และปฏิบัติได้ รวมทั้งคุณลักษณะของผู้เรียนในแต่ละระดับชั้น ซึ่งสะท้อนถึงมาตรฐานการเรียนรู้ มีความเฉพาะเจาะจงและมีความเป็นรูปธรรม นำไปใช้ในการกำหนดเนื้อหา จัดทำหน่วยการเรียนรู้ จัดการเรียนการสอน และเป็นเกณฑ์สำคัญสำหรับการวัดและประเมินผล เพื่อตรวจสอบคุณภาพผู้เรียน
- ตัวชี้วัดชั้นปีเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนแต่ละชั้นปีในระดับการศึกษาภาคบังคับ (ป.1- ม.3)
- ตัวชี้วัดช่วงชั้นเป็นเป้าหมายในการพัฒนาผู้เรียนในระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 – ม.6)
จากรายละเอียดต่าง ๆ ของหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐานดังที่กล่าวมา สถานศึกษาสามารถนำเป็นแนวทางในการจัดทำหลักสูตรของสถานศึกษาที่สนองตอบต่อหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และเพิ่มเติมในส่วนที่เป็นความต้องการของท้องถิ่นโดยมีองค์ประกอบดังนี้
1. ส่วนนำ (วิสัยทัศน์ พันธกิจ จุดหมาย คุณลักษณะอันพึงประสงค์ สมรรถนะสำคัญของผู้เรียน)
2. การจัดทำโครงสร้างหลักสูตร (รายวิชาพื้นฐาน รายวิชาเพิ่มเติม กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน เวลาเรียน
ระดับประถมศึกษา (ป.1 – ป.6) (รายปี)
ระดับมัธยมศึกษาตอนต้น (ม.1 – ม.3) (รายภาค)
ระดับมัธยมศึกษาตอนปลาย (ม.4 – ม.6) (รายภาค)
โครงสร้างหลักสูตรเป็นการนำเสนอโครงสร้างหลักสูตรของโรงเรียนในแต่ละระดับชั้น สนองตอบต่อหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 และความเป็นท้องถิ่นทั้งในระดับเขตพื้นที่การศึกษา และระดับสถานศึกษาที่สะท้อนการบริหารจัดการหลักสูตร เวลาเรียนในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ กิจกรรมพัฒนาผู้เรียน สาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเพิ่มเติม หรือ การจัดรายวิชาเพิ่มเติมตามความต้องการของโรงเรียน
3. การจัดทำคำอธิบายรายวิชา (รหัสวิชา ชื่อรายวิชา กลุ่มสาระการเรียนรู้ระดับชั้น เวลาเรียน รายละเอียดคำอธิบายรายวิชา
3.1 ศึกษามาตรฐานการเรียนรู้
3.2 ศึกษาตัวชี้วัดชั้นปี (ป.1 – ม.3)
3.3 ศึกษาตัวชี้วัดช่วงชั้น (ม.4 – ม.6)
3.4 ศึกษาสาระการเรียนรู้แกนกลาง
3.5 ศึกษากรอบสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเพิ่มเติมของสำนักงานเขตพื้นที่การศึกษานครปฐม เขต 2 และโรงเรียน
3.6 ศึกษาการลงรหัสรายวิชาทั้งพื้นฐาน และเพิ่มเติม
ประมวลจัดทำคำอธิบายรายวิชา แยกตามกลุ่มสาระการเรียนรู้ อันประกอบไปด้วย ส่วนของสาระการเรียนรู้ กระบวนการจัดการเรียนรู้และคุณลักษณะที่เกิด (คุณภาพผู้เรียนตามหลักสูตร)
4. เกณฑ์การจบหลักสูตร
5. การจัดทำหน่วยการเรียนรู้
5.1 โครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา
5.2 มาตรฐานการเรียนรู้ / ตัวชี้วัด
5.3 สาระการเรียนรู้
ดำเนินการจัดหน่วยการเรียนรู้ในแต่ละกลุ่มสาระการเรียนรู้ที่ครอบคลุมหลักสูตรแกนกลางและสาระการเรียนรู้ท้องถิ่นเพิ่มเติม
6. การออกแบบการเรียนรู้ที่อิงมาตรฐาน
6.1 ตัวชี้วัด
6.2 สาระการเรียนรู้ทั้งแกนกลางและท้องถิ่น
6.3 ชิ้นงาน / ภาระงาน
6.4 เกณฑ์การประเมิน
6.5 ชื่อหน่วยการเรียนรู้
6.6 เวลาเรียน
ดำเนินการออกแบบการเรียนรู้ที่อิงมาตรฐานการเรียนรู้ (แผนการจัดการเรียนรู้) ประกอบไปด้วย มาตรฐานการเรียนรู้ ตัวชี้วัด สาระสำคัญ สาระการเรียนรู้ (ความรู้ ทักษะ/กระบวนการ คุณลักษณะอันพึงประสงค์) ชิ้นงาน/ภาระงาน เกณฑ์การประเมินชิ้นงาน กิจกรรมการเรียนรู้ (นำเข้าสู่บทเรียน ช่วยพัฒนาผู้เรียน รวบยอด สื่อการเรียนรู้ การวัดและประเมินผล บันทึกผลหลังสอน)
7. คู่มือการวัดและประเมินผลระดับสถานศึกษา
7.1 การประเมินในระดับชั้นเรียน ประเมินความก้าวหน้าโดยใช้วิธีการอย่างหลากหลาย
7.2 การประเมินในระดับสถานศึกษา ตัดสินผลการเรียนรู้รายปี / รายภาค การอ่าน คิดวิเคราะห์และเขียนตลอดจนคุณลักษณะอันพึงประสงค์และกิจกรรมพัฒนาผู้เรียน
การดำเนินการจัดทำหลักสูตรสถานศึกษาตามหลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 ซึ่งโรงเรียนนำร่องและพร้อมใช้ใช้ในปีการศึกษา 2552 โรงเรียนทั่วไปใช้ใน ปีการศึกษา 2553 จะเห็นได้ว่า เป็นการทบทวนหลักสูตรสถานศึกษาเดิม โดยจัดทำโครงสร้างหลักสูตรสถานศึกษา จัดทำคำอธิบายรายวิชา โดยประมวลจากหลักสูตรแกนกลางการศึกษา ขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กรอบหลักสูตรระดับท้องถิ่น และสถานศึกษาพิจารณาเพิ่มเติม ในส่วนที่เป็นเอกลักษณ์ของชุมชน / ท้องถิ่นที่ต้องการพัฒนาเป็นพิเศษ


เอกสารอ้างอิง
กระทรวงศึกษาธิการ 2551. หลักสูตรแกนกลางการศึกษาขั้นพื้นฐาน พุทธศักราช 2551 กรุงเทพฯ
โรงพิมพ์ชุมนุมสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด.
http://www.sunpt2.net/article/teerapong02.doc

กลอนให้กำลังใจ

หนึ่งสมอง สองมือ ต้องไขว่คว้า
เมื่อมีปัญหา ขึ้นมา ต้องแก้ไข
เหนื่อยและท้อ ขอพักหน่อย ไม่เป็นไร
ให้มีแรง ลุกขึ้นใหม่ ได้อีกครา

คนเราก็เป็น แบบนี้ กันทั้งนั้น
มีสุขสันต์ โศกเศร้า เท่ากันแหละหนา
ความสำเร็จ แต่ละครั้ง กว่าจะได้มา
ต้องแลกด้วย เหงื่อและน้ำตา แทบทุกคน

ขอเป็นอีก หนึ่งแรงใจ ให้คนสู้
ให้เธอรู้ ว่าเธอ ยังมีหวัง
ขอส่งแรงใจ ให้เธอ มีแรงพลัง
ไปยังฝั่งฝัน ที่เธอวาดหวัง และตั้งใจ


อ้างอิง
http://poem.kapook.com/

กระดังงาไทย






ชื่อวิทยาศาสตร์ : Cananga Odorata (Lamk.) Hook. F.et Th.
วงศ์ : ANNONACEAE
ชื่อสามัญ : Ilang – ilang
ชื่ออื่น : กระดังงา กระดังงาใหญ่ สะบันงา สะบันงาต้น

กระดังงาไทยเป็นไม้ยืนต้น เมื่อโตเต็มที่จะมีขนาดความสูงประมาณ 8-15 เมตร ออกดอกตลอดทั้งปี ออกดอกเป็นช่อ ๆ ช่อละ 3-6 ดอก กลีบดอกอ่อนนุ่น เรียวยาวและบิด มี 6 กลีบ ดอกอ่อนสีเขียว เมื่อบานจะเปลี่ยนเป็นสีเหลือง มีกลิ่นหอมรุนแรง ขยายพันธุ์ได้ทั้งการเพาะเมล็ดและตอนกิ่ง ส่วนใหญ่นิยมขยายพันธุ์โดยการเพาะเมล็ด เพราะเมล็ดหาง่าย และเพาะให้งอกได้อย่างรวดเร็ว กระดังงาไทยชอบอยู่กลางแจ้งในสภาพดินที่มีความชุ่มชื้นสูง สำหรับผู้ที่ต้องการจะปลูก จำเป็นจะต้องมีพื้นที่หน้าบ้านพอสมควร เพราะกระดังงาไทยเป็นไม้เป็นไม้ยืนต้นขนาดค่อนข้างใหญ่


อ้างอิง
http://www.tourdoi.com/flower/index.html

ข้อคิดสะกิดใจ

เพื่อรักษาไว้ซึ่งชีวิตครอบครัว
มีบางครั้งที่เราต้องทำในสิ่งที่ไม่อยากทำ
มีบ้างบางครั้งที่เราต้องเลิกทำในสิ่งที่ชอบ
เพื่อความก้าวหน้าของชีวิตครอบครัว
มีบ่อยครั้งที่เราต้องรู้จักใช้สติ
ต้องรู้จัก อดทน และให้อภัย
ดูอย่างต้นไม้ซิ
มันไม่เคยที่จะผืนลิขิตของฤดูกาล
มันไม่คิดจะขัดธรรมชาติ
เมื่อถึงคราวต้องทิ้งใบก็ยินยอมแต่โดยดี
อดทนและอดทน
เพื่อผลิใบ และดอกผลเมื่อฝนมา
เพราะเมื่อเวลามาถึงทุกสิ่งจะดำเนินไป
ชีวิตที่เรียบง่ายคือชีวิตที่มีสุข

อ้างอิง
http://www.love4home.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=109115&Ntype=4

จะก้าวเดิน ไปข้างหน้า อย่างมั่นใจ แม้อ่อนแอ จะก้าวไป อย่างมั่นคง

ยากนะ กับการที่จะลุกขึ้นมาเดินในเส้นทางเดิมอีกครั้ง วันนี้จึงเป็นโอกาสดีสำหรับการเปิดบันทึกในบล๊อก โอเค เนชั่น เพื่อที่จะบอกกับตนเองว่า

"ทางต้องเดินข้างหน้าช่างกว้างใหญ่ แดดได้เผาผิวผ่องจนหมองไหม้

จะก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ แม้อ่อนแอจะก้าวไปอย่างมั่นคง"

วันนี้ เราเลือกที่จะตอบตัวเองว่า เรายังเลือกเดินไปในเส้นทางสายนี้ เส้นทางที่เราเลือกมากว่า 20 ปี

จำได้ว่า เมื่อเข้าเรียนปี 1 ที่ มอ'ตานี มีรุ่นพี่ เขียนข้อความใส่กระดาษให้ไว้

"ทางต้องเดินไปข้างหน้าอีกกว้างใหญ่ แดดจะเผาผิวผ่องให้หมองไหม้

จงก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นใจ ถ้าอ่อนแอจะก้าวไปอย่างไรกัน"

กว่าจะรู้ว่า เส้นทางที่เราเลือกเดินมากว่า 20 ปี นี้ เป็นเส้นทางที่ต้องอาศัยพลังกาย พลังใจ และความอดทน อดกลั้น อย่างมากมาย ต้องฝ่าฟันอุปสรรคนานับประการ สำเร็จบ้าง ล้มเหลวบ้าง แต่ทุกครั้งเราก็มิเคยถอดใจ ด้วยความชัดเจนในเป้าหมาย แต่หลากหลายเหตุการณ์ที่ทำให้เราไม่สามารถทำได้ดังความตั้งใจ ต้องกล้ำกลืนรับความผิด ความช้ำใจ ที่เกิดขึ้นในชีวิต

หากวันนี้ เมื่อเราลุกขึ้นมาเดินในเส้นทางที่เลือกอีกครั้งหนึ่ง เราจีงกำหนดตัวเองว่า จะก้าวเดินอย่างมั่นใจ และมั่นคง ด้วยพลังกาย พลังใจ ที่จะก้าวต่อไปตามวิถีแห่ง บูชิโด

อ้างอิง
http://www.oknation.net/blog/sanee/2009/06/07/entry-1

คนที่มีความสุข ... คือ ?

> > >> > >คนที่มีความสุข 1 วินาที คือคนที่คิดถึงหน้าคนรัก

> > >> > >คนที่มีความสุข 1 นาที คือคนที่เดินไปเข้าห้องน้ำหรือดื่มกาแฟ

> > >> > >คนที่มีความสุข 1 ชั่วโมง คือคนที่เลิกงานแล้วรีบกลับบ้าน

> > >> > >คนที่มีความสุข 1 วัน คือคนวันนี้ไม่มาทำงาน

> > >> > >คนที่มีความสุข 1 สัปดาห์ คือคนที่ลาพักร้อน

> > >> > >คนที่มีความสุข 1 เดือน คือคนเพิ่งแต่งงาน(เพราะได้ไปฮันนี่มูน)

> > >> > >คนที่มีความสุขตลอดชีวิต คือคนที่ได้ทำงานที่ตัวเองรัก

> > >> > >ลองคิดดูว่าคุณอยากเป็นคนที่มีความสุขนานแค่ไหน?

> > >> > >ถ้าอยากมีความสุขตลอดชีวิต ก็ให้ทำงานที่ตัวเองรัก


อ้างอิง
http://www.icygang.com/inbox_writer/readinbox.php?category_id=7&sid=67

ความรักเป็นเรื่องของความพอดี

ความรักเป็นเรื่องของความพอดี.......
รักมากไปก็ไม่ดี น้อยไปก็ไม่ดีเหมือนกัน

ความรักเป็นเรื่องของความพอดี.......
ใช้เหตุผลมากไปก็ไม่ดีหรือเอาความรู้สึกเป็นใหญ่มาก็ไม่ดี

ความรักเป็นเรื่องของความพอดี.......
วิ่งตามมากไปรักก็จะวิ่งหนี้ ทิ้งระยะห่างมากไปรักก็จะเลือนหาย

ความรักเป็นเรื่องของความพอดี......
หากไม่กล้ารัก ก็ไม่มีทางได้ความรักกลับมา

ความรักเป็นเรื่องของความพอดี......
หึงหวงมากไป เค้าก็อาจจะรำคาญ ไม่สนใจเลยเค้าก็อาจจากไป

ความรักเป็นเรื่องของความพอดี..............
ความรักไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก คนเราต่างหากที่ทำให้มันซับซ้อนเกินเข้าใจ

ความรักเป็นเรื่องของการต้องให้เกียรติกันและกันการรู้จักว่างตัวช่วยถนอมรักให้งดงาม.........
การจะรักใครซักคนไมใช่การมองหาคนที่สมบูรณ์แบบที่สุด .......
แต่เป็นการมองหาคนธรรมดาอย่างสมบูรณ์ในแบบที่เขาเป็น.........จริงใหม



อ้างอิง
http://nooyingja.exteen.com/20070625/entry

วันพุธที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

หลักการทำงานของคอมพิวเตอร์

คอมพิวเตอร์ หมายถึง เครื่องคำนวณ อิเล็กทรอนิกส์ที่สามารถทำงานคำนวณผลและเปรียบเทียบค่าตามชุดคำสั่งด้วยความเร็วสูงอย่างต่อเนื่องและอัตโนมัติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2525 ได้ให้คำจำกัดความของคอมพิวเตอร์ไว้ค่อนข้างกะทัดรัดว่า เครื่องอิเล็กทรอนิกส์แบบอัตโนมัติ ทำหน้าที่เสมือนสมองกล ใช้สำหรับแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งที่ง่ายและซับซ้อน โดยวิธีทางคณิตศาสตร์

หรืออาจกล่าวได้ว่า เครื่องคอมพิวเตอร์หมายถึง เครื่องมือที่ช่วยในการคำนวณและการประมวลผลข้อมูล จากคุณสมบัตินี้ของเครื่องคอมพิวเตอร์ซึ่งไม่ใช่เครื่องคิดเลข เครื่องคอมพิวเตอร์จึงประกอบด้วยคุณสมบัติ 3 ประการคือ
1. ความเร็ว (Speed) เครื่องคอมพิวเตอร์สามารถทำงานได้ด้วยความเร็วสูงมาก ซึ่งหน่วยความเร็วของการทำงานของคอมพิวเตอร์วัดเป็น
- มิลลิเซกัน (Millisecond) ซึ่งเปรียบเทียบความเร็วเท่ากับ 1/1000 วินาที หรือ ของวินาที
- ไมโครเซกัน (Microsecond) ซึ่งเทียบความเร็วเท่ากับ 1/1,000,000 วินาที หรือของวินาที
- นาโนเซกัน (Nanosecond) ซึ่งเปรียบเทียบความเร็วเท่ากับ 1/1,000,000,000 วินาที หรือของวินาที
ความเร็วที่ต่างกันนี้ขึ้นอยู่กับคุณสมบัติของอุปกรณ์คอมพิวเตอร์แต่ละยุค ซึ่งได้มีการพัฒนาให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น การใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ประมวลข้อมูล ได้เร็วในเวลาไม่เกิน 1 วินาที จะทำให้คอมพิวเตอร์มีบทบาทในการนำมาเป็นเครื่องมือใช้งานอย่างดียิ่ง
2. หน่วยความจำ (Memory) เครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วยความจำ ซึ่งสามารถใช้บันทึกและเก็บ
ข้อมูลได้คราวละมากๆ และสามารถเก็บคำสั่ง (Instructions) ต่อๆกันได้ที่เราเรียกว่าโปรแกรม แลนำมาประมวลในคราวเดียวกัน ซึ่งเป็นปัจจัยทำให้คอมพิวเตอร์สามารถทำงานเก็บข้อมูลได้ครั้งละมากๆ เช่น การสำรวจสำมะโนประชากร หรือรายงานผลการเลือกตั้งซึ่งทำให้มีการประมวลได้รวดเร็วและถูกต้อง จากการที่หน่วยความจำสามารถบันทึกโปรแกรมและข้อมูลไว้ในเครื่องได้ ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์มีคุณสมบัติพิเศษ คือสามารถทำงานได้อย่างอัตโนมัติ ในกรณีที่มีงานที่ต้องทำซ้ำๆหรือบ่อยครั้งถ้าใช้คอมพิวเตอร์มาช่วยในการทำงานเหล่านั้นก็จะทำให้เกิดประสิทธิภาพสูงซึ่งจะได้ทั้งความรวดเร็ว ถูกต้องแม่นยำและประหยัดเนื่องจากการเขียนคำสั่งเพียงครั้งเดียวสามารถทำงานซ้ำๆได้คราวละจำนวนมากๆ
3. ความสามารถในการเปรียบเทียบ (Logical) ในเครื่องคอมพิวเตอร์ประกอบไปด้วยหน่วยคำนวณและตรรกะซึ่งนอกจากจะสามารถในการคำนวณแล้วยังสามารถใช้ในการเปรียบเทียบซึ่งความสามารถนี้เองที่ทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ต่างกับเครื่องคิดเลข และคุณสมบัตินี้ทีทำให้นักคอมพิวเตอร์สร้างโปรแกรมอัตโนมัติขึ้นใช้อย่างกว้างขวาง เช่นการจัดเรียงข้อมูลจำเป็นต้องใช้วิธีการเปรียบเทียบ การทำงานซ้ำๆตามเงื่อนไขที่กำหนด หรือการใช้คอมพิวเตอร์ในกิจการต่างๆซึ่งเกิดขึ้นมากมายในปัจจุบัน และการใช้แรงงานจากคอมพิวเตอร์แทนแรงงานจากมนุษย์ทำให้รวดเร็วถูกต้อง สะดวกและแม่นยำ เป็นการผ่อนแรงมนุษย์ได้เป็นอย่างมาก


อ้างอิง
http://www.streesmutprakan.ac.th/teacher/techno/WEB%20_JAN/p4.html